ดินดี อาจไม่ใช่ปลูกอะไรก็ขึ้น…


ชายคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ พ่อแม่ก็เลยจัดการหาภรรยาให้ เมื่อแต่งงานแล้วเขาก็สมัครเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนประถมใกล้บ้าน
เพราะไม่มีประสบการณ์การสอน สอนได้ไม่ถึงอาทิตย์เขาก็ถูกโห่ไล่จากเด็กนักเรียน เมื่อกลับถึงบ้าน ภรรยาปลอบใจเขาว่า
“แม้เราจะมีภูมิอยู่เต็มท้อง บางคนเอาออกเป็น บางคนเอาออกไม่เป็น อย่าได้โศกเศร้าเสียใจให้มากไป อาจมีงานที่เหมาะสมกว่านี้รอคุณอยู่”
ต่อมาเขาก็ไปทำงานรับจ้าง ก็ถูกเถ้าแก่ไล่กลับบ้าน เพราะเขาทำอะไรช้ายืดยาด ครั้งนี้ภรรยาของเขาปลอบใจเขาว่า
“คนเรามือไม้ช้าเร็วต่างกัน คนอื่นเขาทำมาเป็นสิบๆปี คุณเรียนหนังสือมาตลอด จะให้ทำเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง!”
เขาไปทำงานอีกหลายอย่าง แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน มักจะเลิกล้มกลางคันอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ภรรยาก็จะคอยปลอบใจไม่เคยตำหนิหรือว่ากล่าวอะไรไลย

ตอนที่เขาอายุได้30กว่าปี ด้วยความสามารถด้านภาษา เขาเลยสมัครเป็นครูผู้ช่วยในโรงเรียนโสตศึกษา ต่อมาเมื่อมีประสบการณ์การสอน เขาก็ออกมาเปิดโรงเรียนโสตศึกษาของตัวเอง จากนั้นเขาก็ได้เปิดร้านขายผลิตภัณฑ์จากผู้พิการหลายแห่งในเมืองต่างๆ จากชายผู้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตอนนี้เขากลายเป็นเศรษฐีย่อมๆเสียแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ถามภรรยาของเขาว่า
“แม้แต่ตัวผมยังรู้สึกอับจนไร้หนทาง เพราะอะไรคุณจึงมั่นใจในตัวผม!”
ภรรยาของเขาตอบว่า
“ดินดี แต่หากไม่เหมาะกับการปลูกข้าวบาร์เลย์ ก็ลองปลูกถั่ว หากไม่เหมาะกับการปลูกถั่ว ก็ลองปลูกแตง หากไม่เหมาะกับการปลูกแตง ก็ลองปลูกดอกไม้ฯ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งที่เหมาะกับดินชนิดนี้ เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับมัน ก็ย่อมเจริญงอกงามได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มที่ ”
เมื่อฟังภรรยาพูดจบ เขาถึงกับหลั่งน้ำตา
“ขอบคุณความรักความอดทนและความเชื่อมั่นที่คุณมีต่อผม คุณคือเมล็ดพันธุ์ที่ทรงพลังแข็งแกร่งและทรหดอดทนมาก ”

@ โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่มันผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น

คนที่ไม่รู้จักถนอมรักษา ต่อให้อยู่บนภูเขาเงินภูเขาทองเขาก็ไม่มีความสุข

คนที่ไม่รู้จักให้อภัยใจกว้าง ต่อให้ผูกมิตรสหายไว้มากมายสุดท้ายก็หลีกลี้หนีหาย

คนที่ไม่รู้จักสำนึกคุณ ต่อให้ยอดเยี่ยมมากความสามารถอย่างไร
ก็ยากประสบความสำเร็จ

คนที่ไม่รู้ลงมือกระทำ ต่อให้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร
ความฝันก็ไม่อาจสำเร็จเป็นจริงได้

คนที่ไม่รู้จักให้ความร่วมมือ ต่อให้สู้จนสุดชีวิตก็ยากที่จะสำเร็จสู่ความยิ่งใหญ่ได้

คนที่ไม่รู้จักเก็บออม ต่อให้มีเงินทองมากมายก็ไม่อาจเป็นเศรษฐีได้

คนที่ไม่รู้จักพอ
ต่อให้ร่ำรวยปานใดก็ยากที่จะมีความผาสุก

คนที่ไม่รู้จักดูแลร่างกาย
ต่อให้มียาดีมากมายก็ยากอายุยืนได้

และที่สำคัญ
อย่ากลัวว่าเรียนยาก
ที่กลัวคือไม่อยากเรียน

อย่ากลัวสายตาของคนอื่น
ที่กลัวคือตัวเองไม่รักดี

อย่ากลัวไม่มีเงิน ที่กลัวคือมีแล้วไม่รู้จักใช้
กลายเป็นทาสของเงินต่างหาก

จงใช้สตางค์อย่างมีสติ
อย่าสิ้นสติเพราะมีสตางค์!

25570726-155110-57070869.jpg

ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์


“ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนานิมนต์ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์
วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช เข้าพระราชวัง

กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวง
รัชกาลปัจจุบัน ทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณา
ให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจ ในวังสวนจิตรลดา

เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิ
เพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายใน
ห้องต้อนรับ ขณะที่รอในหลวงเสด็จออก ท่านว่าหัวใจมันเต้นแรง
เหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น”

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก
ชื่นชมในพระบารมี ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก
ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวาย
ระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง

จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราช
ประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมพระเศียรให้พร ด้วยทรงพระราชศรัทธา
เคารพ ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า “กูขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์
ผู้ทรงกฤดาภินิหาร ครองบ้านครองเมือง จะมาก้มให้พระป่าสามัญ
ลูบพระเศียรได้ ท่านเป็นเทวดาของปวงชน”

ท่านเลยทูลว่า “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด”
ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้ม และทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้าย
จับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่า
พระหัตถ์ของพระองค์เอง พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา

ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัย และทรงปวารณาทรงรับ
อุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์

ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า” ท่านตอบว่า
“ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า”

และกล่าวอีกว่า “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”

จากเพจ อ. Danai Chanchaochai

25570510-143821.jpg

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก


มองชิวิตที่เปลือยเปล่า

คนอยู่บนสวรรค์ เงินอยู่ในธนาคาร ; คนเราตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช้เงินตายแล้วเงินก็ยังใช้ไม่หมด
หวางจวินเหยานักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ในเจ้อเจียงเสียชีวิตในขณะที่อายุยังไม่มาก เหลือเงินฝากไว้ให้ภรรยา 1,900,000,000 และภรรยาได้แต่งงานใหม่กับคนขับรถของคุณหวางในสมัยที่คุณหวางยังมีชีวิตอยู่

ในขณะที่คนขับรถคนนั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาก็คิดว่า”แต่ก่อน เรานึกว่าเราเป็นคนทำงานให้เจ้านาย ตอนนี้เราเพิ่งเข้าใจแล้วว่าเจ้านายทำงานให้เรามาตลอด

ความจริงที่โหดร้ายนี้เป็นตัวแสดงว่า : มีชีวิตที่ยืนยาว สำคัญกว่าความรวยความหล่อ
ขอให้ทุกคนหมั่นออกกำลังกาย ระวังสุขภาพ ใครเป็นฝ่ายทำงานให้ใครนั้นพูดยาก…

– โทรศัพท์ที่ทันสมัย1เครื่อง 70% ขของฟังก์ชั่นในโทรศัพท์นั้นไม่มีประโยชน์
– รถหรูๆ 1 คัน 70% ของความเร็วนั้นเหลือใช้
– บ้านหรูๆ 1 หลัง 70% ของพื้นที่นั้นว่างเปล่า
– ในมหาวิทยาลัยสักแห่ง 70% ของศาสตราจารย์เป็นพวกไร้สาระ
– กิจกรรมทางสังคมหลายอย่าง 70% เป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ
– เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน 70% ไม่ได้ใช้ ไร้ประโยชน์
– เงินที่หามาทั้งชีวิต 70% ก็ทิ้งไว้ให้ผู้อื่นใช้

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ
– ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
– ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
– ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง
– มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน
– มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
– ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
– ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
– ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก

ดังนั้น
– อยากกิน…กิน
– อยากเที่ยว….เที่ยว
– เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
– สุขสบายทุกเพลา
– เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
– เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ
– ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป
– เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ

โปรดส่งต่อให้เพื่อนๆ
เพื่อแสดงว่า…คุณยังมีเพื่อน
และ…ฉันเป็นเพื่อนคุณ

25570509-174909.jpg

25570509-174923.jpg

25570509-174937.jpg

25570509-174953.jpg

ครึ่งชีวิตกับแนวคิด 13 เรื่อง ของ Steve Jobs


ครึ่งชีวิตกับแนวคิด 13 เรื่อง ของ Steve Jobs

1.เราไม่เสียใจกับเรื่องที่ได้ทำ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม แต่เราจะเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ทำมากกว่า
2.เราเห็นโลกในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่แบบที่มันเป็น : คนมองโลกบวก จะเห็นทุกอย่างเป็นโอกาส ชีวิตจะเต็มไปด้วยความสุข มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
3.เราต้องทุ่มพลังไปกับเรื่องที่เราถนัดจริงๆ ให้เราเป็น expert ในเรื่องนั้น แล้วงานที่ออกมาจะชั้นหนึ่ง
4.อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ผลของมันมักจะดีเสมอ ถึงตอนแรกๆจะดูไม่ออกก็เหอะ
5. ทุกคำล้อเล่นจากเพื่อน มีความจริงครึ่งนึง เราพึ่งมาเห็นกันตอนโตๆนี่เอง
6. เวลาคือ commodity ที่มีค่ามากที่สุด
7.พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ วินัยในการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่แยกระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลว
8. การลงทุนในครอบครัวเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด : พ่อแม่ไม่อยู่ให้ดูแล
ตลอดไป ลูกก็ไม่ไร้เดียงสาตลอดไป
9. สะสมเรื่องราวให้มากกว่าสิ่งของ : เมื่อเวลายิ่งผ่านไปสิ่งของจะมีค่ากับเราน้อยลง แต่เรื่องราวจะมีค่ากับเรามากขึ้น
10. เลือกคนที่จะอยู่รอบตัวเราให้ดี เพราะยิ่งนานวันนิสัยของเราและคนเหล่านี้จะค่อยๆกลมกลืนเข้าหากัน
11. การออมและการลงทุน เป็นเรื่องสำคัญ ควรเริ่มให้เร็วและทำให้เป็นนิสัย : คนเริ่มซื้อหุ้นด้วยเงินหลักแสนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้มีพอร์ตแปดหลักอ้วนๆ
12. อย่าหวังอะไรใหม่ๆจากพฤติกรรมเก่า
13. ยิ่งความฝันครอบคลุมคนอื่นมากเท่าไร เมื่อความสำเร็จมาถึงมันจะยิ่งใหญ่มากเท่านั้น

Steve Jobs

25570504-114236.jpg

รถไฟ…ชีวิต


ชีวิตเหมือนกับการเดินทางโดยสารรถไฟ…มีสถานีต่างๆ…
มีการเปลี่ยนเส้นทาง…มีกระทั่ง
อุบัติเหตุ……

เราขึ้นรถไฟขบวนนี้ตอนเรา
ถือกำเนิด….พ่อแม่คือคนที่
ตีตั๋วให้เรา…

เราเชื่อว่าท่านจะเดินทางด้วย
รถขบวนนี้กับเราตลอดไป….

แต่แล้ว..ที่สถานีใดสถานีหนึ่ง
ท่านทั้งสองก็ต้องลงรถจากไป…ปล่อยเราไว้เพียงลำพังกับ
การเดินทางนี้….

วันเวลาผ่านไป…จะมีผู้โดยสารอื่นๆขึ้นรถมาเรื่อยๆ…หลายคนจะเป็นคนที่เรารักและผูกพัน..
เป็นพี่เป็นน้อง..เป็นเพื่อน..เป็นลูกเป็นหลานหรือกระทั่งเป็น
ที่รักแห่งชีวิตของเรา….

หลายคนลงรถไปกลางทาง..
เหลือไว้แต่ความอ้างว้างอัน
ถาวรในชีวิตเรา..

หลายคนจากไปอย่างที่เราไม่
ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่า…เขา
ลุกจากที่นั่งแล้วลงรถไปแล้ว !

การเดินทางโดยรถไฟนี้จะเต็ม
ไปด้วยความรื่นรมย์…ความ
โศกเศร้า…ความมหัศจรรย์…
ความคาดหวัง…คำสวัสดี..คำ
อำลา..และ..ขอให้โชดดี

การเดินทางที่ดีคือ การได้ช่วย
เหลือ..ได้รัก..ได้มีความ
สัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนผู้โดยสารทุกคน…จงแน่ใจว่าเราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้การเดินทาง
ของพวกเขามีความสะดวก
สบาย….

ความน่าพิศวงของการเดินทางอันวิเศษยอดเยี่ยมนี้คือเราเองไม่รู้เลยว่าแล้วเราเองต้องลง
รถที่สถานีไหน…..

ฉะนั้น…เราต้องมีชีวิตให้แจ๋วที่สุด…ปรับปรุงตัวเอง…รู้จักลืม
รู้จักอภัย…ให้สิ่งดีที่สุดที่เราม ี

สำคัญมากๆ ที่ต้องทำอย่างนี้…
เพราะว่าเมื่อถึงเวลาที่เราต้อง
ลุกจากที่นั่ง…เราต้องจากไป
โดยทิ้งความทรงจำที่สวยงาม
ให้แก่ผู้คนที่ต้องเดินทาง โดยสารรถไฟขบวนชีวิตนี้
ต่อไป….

ขอบคุณมากๆที่มาเป็น
ผู้โดยสารคนหนึ่งในขบวน
รถไฟของฉัน

ขอให้มีความรื่นรมย์..เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตไว้มากๆใน
การเดินทางของชีวิต…

25570418-105007.jpg

เรื่องดีๆ นิทาน 3 เรื่อง บอกนิสัยคน


1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆเข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่
ที่ สมหวัง ต้องทำ
จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้
สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้
แล้วก็เลิกคบกัน

2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆหลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก
และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆช่วย
แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว
สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า เพื่อนๆทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่
ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ
สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า
“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรี จำคำพูดของสมปอง
ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆเป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา
ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา
เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ

3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย
วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาทุก “ตัว”
วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือ หมา
มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ

25570418-104207.jpg

เรื่องตลก ที่ไม่ตลก ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ


บรรดาเรื่องตลก

1.คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือการลงทุน วันๆอ่านเรื่องชาวบ้านไรสาระ ดราม่า ละคร ไม่รู้เรื่องเงินเฟ้อ เศรษฐกิจ
โรงงานบริษัทที่ทำใกล้เจ๊ง ตรูไม่รู้ ไม่ได้เตรียมหาทางหนีทีไล่ รอซองขาวอย่างเดียว

2.คนที่ไม่เคยลงทุน คนที่ไม่เคยค้าขาย วันๆซื้อของอย่างเดียว ไม่เคยดูต้นทุนของว่า ชิ้นนี้เท่าไหร่ ซื้อมาคุ้มมั้ย
ทำเลร้านค้าที่ไปซื้อเป็นไง ร้านอาหารบางร้านอาหารโ ค ร ต ห่วย แต่รวยเอาๆ ทำได้ไง

3.คนที่ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว ไม่เหลียวแล พ่อแม่ จะกินอะไร แก่ตัวไป พ่อแม่จะมีเงินใช้มั้ย วันๆหมกตัวอยู่กับแฟน
ดูแลแฟน ไปเที่ยวนู่นนี่นั่น กระหนุง กระหนิง พ่อแม่ไม่เหลียวแล หมู ไก่ ข้าวของเครื่องใช้ไม่เคยมีติดไม้ติดมือเวลากลับบ้าน
ทีกับแฟนนี่สปอร์ต อยากได้อะไร ได้…. สุดท้าย เลิก เหงิบ อ่ะดิ

4.คนที่เสียเวลากลับการซื้อของเพื่อให้คนที่ไม่สนใจคุณดู ของแบร์นเนมนี่มีครบ กระเป๋าหลุยส์ วิสตองมีครบทุกเซต
แต่ถามหน่อย มีใครอยากรู้มั้ย เข้าใจอยู่ว่ามีเงินซื้อ(ผมก็ใช้) แต่ซื้อแค่พอได้ใช้ เดือนๆนึง ปีๆนึงเที่ยวไม่ถึงสิบครั้ง ถามว่าคุ้มมั้ย
สำหรับบางท่านอ่ะ

5.คนที่ทำงานไปวันๆสิ้นเดือนรับเงินเดือน ไม่เคยสนใจจะใฝ่หาความรู้เรื่องอื่น ทำงานเป็นตัวถ่วงชาวบ้าน ขอให้ชีวิตตรูสบายเป็นพอ
ถามว่าเพื่อนร่วมงานเค้ารู้มั้ย เค้ารู้ แต่เค้าไม่สนใจไง เค้าก็ไปลงเรียนเพื่อน เรียนภาษาเพิ่ม ทำงานโชว์ศักยภาพให้เจ้านายเห็น ขึ้นตำแหน่ง
เพิ่มเงินเดือน ส่วนคุณหน่ะหรอ เค้ารอเขี่ยทิ้งไง เมื่อถึงเวลาอันควร

6.คนที่อยากเก่งภาษา แต่วันๆก็ฟังแต่เพลงไทย ละครไทย ซี่รีย์ฝรั่ง เพลงสากล ราการโทรทัศน์ต่างประเทศดีๆ มีเยอะแยะ
เช่น ถ้าคุณดู Game of thrones คุณจะเลิกดูละครจักรๆวงศ์ๆ ทันที ละครอะไรมีอยู่ไม่กี่ฉาก ชุดเดิมๆ ยักษ์ง่อยๆ
คหสต. ถ้าคุณเอาเวลาคืนละ2-3 ชม.ที่ใช้ไปกับการดูละครไทยห่วยๆ พอร์ตเรื่องเดิมๆ ละครเดิมๆรีเมค ซ้ำไปซ้ำมานะ ไปหาความรู้อย่างอื่น
ผมว่าเอาไปดูซีรีย์ตปท.ดีกว่า เชื่อผมเหอะ ละครห่วยๆ นักแสดงขายหน้าตา อย่าไปดูเลย ขอร้อง ผมไหว้ละ
ยกตัวอย่างซีรี่ตปท. Lie to me(Tim Roth)จบล่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจับโกหก เค้ารีเสิสหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เอาไปใช้ได้จริง ข้อมูลบางส่วนจริง
แค่เรื่องนี้เปลี่ยนชีวิตผม ให้โอกาสผม เวลาไปคุยงานกับคน หรือซักถามข้อมูล อาการต่างๆที่ในละครบอก มันใช้ได้จริง
สีหน้าท่าทางเวลาโกหก การกลืนน้ำลาย กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุก สิ่งเหล่านี้แหละที่มันเป็นประโยชน์
ซีรีย์เกาหลี ฮ่องกง ที่เกี่ยวกับการเล่นหุ้นลงทุน ดูไปสิ ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ
ถ้าคุณเก่งภาษานะ โลกทั้งใบก็อยู่ในมือคุณแล้ว ทุกวันนี้คุณจะค้นข้อมูลข่าวสาร ภาษาไทยคุณเจอ 100,000เพจ ภาษาอังกฤษ1,000,000เพจ
แล้วคุณว่าใครจะเก่งกว่ากันละครับ โลกทุกวันนี้เป็นโลกแห่งข้อมูล ข่าวสาร ยิ่งรู้เยอะ ลงมือทำ ยิ่งรวยเร็ว บอกเลย
ถ้าคุณชอบทำอาหารและคุณรู้จัก Marco Pierre White,Gordon Ramsay,Heston Blumenthal แล้วคุณไปดูพวกนี้ทำอาหารนะ คุณจะบ้าไปเลย
ยิ่งโดยเฉพาะคนหลังนะ แปลก ความคิดสร้างสรรค์ดีสุดๆ ส่วนคนแรกก็อาจารย์คนที่สองอ่ะครับ๕๕๕เค้าคือใครหน่ะหรอเค้าคือคนที่เป็นเชฟอายุน้อยที่สุดที่เคยมีร้านได้ 3 Michelin star ไงละ(ไม่รู้ก็อากู๋นะ อีกอย่างนึงคือ คนนี้ก็ระดับขึ้นหิ้งแล้วเหมือนกัน) คนที่สองนี่ก็ชื่อดังอยู่แล้วเช่นรายการ The f word, Hell’s kitchen

7.คนที่บอกว่าไม่มีเงิน ลงทุนไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ อันนี้ตลกมาก ไอโฟน เงินมั้ย เสื้อผ้าแพงๆ เงินมั้ย รถ? บ้าน? อาหารหรูๆ? เที่ยว? มันก็เงินทั้งนั้นป่ะครับ ที่คุณใช้ ลำดับความสำคัญมันสิครับ ถ้าแบบว่าไม่มีจริงๆก็เริ่มจากลงทุนด้วยตัวเองก่อน อ่านหนังสือ คยเพื่อนเก่งๆ หาไอดอลที่คุณอยากเป็น จากนั้นคุณจะรู้เองหล่ะครับว่า คุณจะแปลงมันเป็นเงินยังไง
รีบเที่ยวเดี๋ยวแก่ก่อนจะไม่ได้เที่ยว ฮ่าๆๆ คุณก็รีบรวยสิครับ ง่ายๆ เริ่มทำตอนนี้อายุ 30-35 ปีมันก็ออกดอกอออกผลแล้ว แรงยังเหลือมั้ย มี เงินมีมั้ยมี แล้วพอคุณรวยแล้ว คุณก็ไม่จนแล้ว จะเที่ยวรอบโลก บ้านหลังใหญ่ รถสปอร์ตหรูๆสักคัน สบายย

พอก่อนครับ ครั้งหน้าเดี๋ยวมาต่อตอนสอง
ผู้อ่านท่านไหน ไม่เห็นด้วยยังไง แชร์ปสก.ได้เลยนะครับ

——————————————————————————————————

คห.21 มาต่อนะครับ

….มาต่อครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาแชร์ครับ

เริ่มจากเรื่องตลกเรื่องแรกของผมก่อนนะครับ คือ ผมพิมพ์เอามันส์ พิมพ์สะเปะสะปะ เหวี่ยงเรื่องไปหน่อย
ท่านผู้อ่านก็อาจจะเห็นมันมีจุดให้แย้งหลายจุด ทั้งๆที่ผมอาจจะคิดเหมือนท่าน แต่ผมอาจจะไม่ได้พูดออกไป
แล้วผมก็ขี้เกียจพิมพ์ตอบอ่ะครับ ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่อ่านจะเข้าใจ

สิ่งที่ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้ประโยชน์คือ ไอเดีย ความคิดแปลกๆสุดโต่งบางอย่าง ไม่ได้บอกว่าดี
แต่คุณต้องออกมาหาเอง ลองเอง เจ็บเอง ผมไม่ได้พูดไม่ได้แปล ว่าไม่รู้ ไม่สนใจ แต่ผมเป็นประเภทขี้เกียจพิมพ์อ่ะครับ 555
ผมเข้าใจที่หลายๆท่านแชร์ความเห็นนะครับ และก็บอกว่าเห็นด้วยบางส่วน ไม่เห็นด้วยก็มี ดังที่บางท่านได้กล่าว

เรื่องตลกเรื่องที่สองคือ ผมเปลี่ยนเนื้อหาในกระทู้ดีกว่า เพราะจั่วหัวแรงเกิ๊น ถ้าอยู่ไทยผมคงโดนหลายเท้าแล้วละ ฮ่าๆๆ

ผมจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องตลกของผม ใครใคร่ขำเชิญขำ ใครไม่ขำก็ให้จี้เอวไปด้วยระหว่างอ่านกระทู้เองนะครับ

งั้นขอแนะนำตัวก่อนครับ ตอนนี้ผมอายุจะ26ปีนี้ ตอนที่จบวิศวะใหม่ ก็ไม่ได้ทำงาน เพราะไม่อยากทำงานประจำ อยากรวยเร็วๆ อยากมีเงินโดยไม่ต้องทำงานอยากให้พ่อแม่ ออกจากรับราชการ เพราะครอบครัวผมเป็นคนตรงฉิน ไม่คด ไม่โกง (ตอนนี้พ่ออกแล้วครับ) ชีวิตก็ลุ่มๆดอนๆตามอัตภาพอะครับ ด้วยความที่เป็นพี่คนโต ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง อย่างเดียวที่ทำได้ คือ ต้องรวยด้วยตัวเองไม่คดโกงมา ไม่ใช่รวยแค่เงิน แต่ต้องรวยทุกด้าน รวยด้านเพื่อน รอยความสุข รวยชีวิตใช้ชีวิตให้คุ้มค่าได้เที่ยวทั่วโลก ตอนอายุไม่เยอะ เพื่อให้พ่อแม่ ยังมีเเรงเที่ยวไปกับเราด้วย ดังนั้นผมไมผมจึงเชื่อว่าเงินสำคัญ เพราะเงินเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงสิ่งที่ผมต้องการไงครับ
ทำไมผมจึงเชื่อว่าผมจะทำได้ เพราะผมเคยทำมาหมดแล้ว ค้าขายลงทุน ตั้งแต่เด็ก
ขายน้ำแข็งใส น้ำปั่น ถั่วต้ม ขายต้นไม้ตอนประถมต้น
ขายก๋วยเตี๋ยว ผ้าห่ม ขายอาหารในโรงงาน ขายแรงงานยกกระสอบ ตอนมัธยม
ตั้งเต้นท์ขายกระทงที่ม.รังสิต ทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ ร้านข้าวมันไก่ ร้านหนังสือการ์ตูน ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฯลฯ
ปล.ที่พีคสุดๆในชีวิตคือตอนขายหมวกแถวฟิวเจอร์ คืนเดียว2-3หมื่น หิ้วมาจากเพชรบูรณ์คนเดียวเกือบ30โล หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่นั่งรถบัสมาตอนหิ้วนิ้วแทบหลุด เพราะพ่อเอาของไปขายแล้ววจะเจ๊งไงครับ ค่าที่ 4 คืนเกือบหมื่น ขายได้หลักพัน ผมก็เลยตัดสินใจหิ้วนั่งรถบัสมาเลย เพราะผมมองว่าของที่ขาย มันคนละตลาดกับกลุ่มลุกค้า และที่โครตตลกคือพ่อผมขายที่นู่นทุกชิ้น 120บาท ไม่มีคนซื้อ แต่ผมขาย 250-280บาทคนซื้อกระจาย ฮ่าๆๆๆ แล้วของเหลือวันต่อมาผมก็เอาไปขายที่จตุจักรอ่ะครับ ไปเดินไล่หาที่ เจอพอดีคนที่ไม่มาก็เลยเสียบเลย ขายส่งๆได้ไปอีก แปดเก้าพัน

เอาละขี้เกียจพิมพ์ละ ตอนนั้นหลังผมจบผมเลยมาตปท.หลังจากที่สองปีมาอยู่เก็บตัง ฝึกภาษาพัฒนาสกิลที่จำเป็นต้องใช้ ข้ามมาเลยละกันตอนนี้ผมเป็นจข.ร้านอาหารอยู่ตปท.รายได้ต่อเดือนโดยที่ไม่ทำงานคือ 25x,xxx-3xx,xxx บาทต่อเดือน ผมมีหน้าที่แค่โทรศัพท์สั่งของ ขับรถไปซื้อผัก จ่ายเงินผ่านมือถือ ชิวเลย ตลกป่ะละ งานสบายๆ
ตลกพอยังครับสำหรับชีวิตผม

เรื่องตลกคือของผมที่ด้นสดๆคือ

1.คนตลกบางคนห้ามนู่น ห้ามนี้ พูดนั่นพูดนี่ แต่ไม่เคยทำ ไม่เคยลงมือ ฟังๆเค้ามาก็เอามาเล่าเป็นตุเป็นตะ คห.ผมชีวิตใคร
ชีวิตมัน อยากทำก็ทำเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าระห่ำขนาดไหน ลุยเลยครับ(ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายนะครับ) แต่ก่อนจะทำคิดให้รอบคอบ ถี่ท้วน ถามผู้รู้หลายๆคนก่อน ศึกษาให้รอบทิศ จากนั้น ลุย!!!

2.คนบางคน วัยวุฒิ คุณวุฒิ ที่มากไม่ได้แปลว่าเค้าจะรุ้ทุกเรื่อง คห.ผม โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปเร็วครับ บางครั้งข้อมุล15ปีบางเรื่อง บางอย่างมันก็เก่า ยากที่เอามาใช้แล้วครับ อย่างนึงคือเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ข้อมูลข่าวสารที่มันไปเร็วมาก แล้วคนบางคนเค้าก็ไม่ได้อัปเดตความรู้อ่ะครับ เพราะฉะนั้น บางสิ่งบางอย่างเราก็ฟัง แล้วเอามาวิเคราะห์ด้วยนะครับ ไม่ว่าจะจากหนังสือ อินเทอเนท หรือแหล่งที่น่าเชื่อถืออื่นๆ

3.คนตลกบางคน คิดแต่ไม่เคยทำ ปวดหัวนอนไม่หลับ ความคิดพุ่งพล่าน แต่ตื่นมาไม่ลงมือทำ คห.ผม สร้างเป้าหมาย แล้ววางแผนเป็นขั้นๆเลยครับ ระยะสั้น กลาง ยาว แล้วลงมือทำ พอมันสำเร็จเป็นช่วงๆชีวิตก็แฮปปี้มีความสุข นอนหลับฝันดีแล้วครับ

4.คนตลกบางคน คาดหวังจะได้ แต่ไม่เคยให้ เกิดมาเอาแต่จะรับ ละโมภโลภมาก ตายไปก็เอาไปไม่ได้ คห.ผมมีแล้วต้องแบ่งปันครับ ให้และรับถ้ามีโอกาสที่เหมาะสม การให้ที่ดีที่สุดสำหรับผม ถ้าผมประสบความสำเร้จตามที่คิดคือ การให้โอกาสคนได้เรียนให้หารศึกษา ผมเชื่อว่ามันยิ่งใหญ่และดีกว่าสิ่งของ หรือ เงินเยอะในระยะยาว

5.คนบางคน มีความสุข กิน เที่ยว ชีวิตสุขขี แต่หาเงินเดือนชนเดือน คห.ผม การวางแผนทางการเงินสำคัญครับ สำหรับชีวิต
ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าลืมนะครับว่า เราไม่สามารถทำงานไปได้ตลอดเพราะฉะนั้นผมจึง เน้นมากเรื่องนี้ ทุกคนต้องศึกษานะครับ รายละเอียดเชิงลึกและการปฏิบัติ ในเนท ในร้านหนังสือเพียบ..

เห้อ เหนื่อยโฮกการพิมพ์เนี่ย แล้วยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิมพ์สดอีกเนี่ย
ผมขอจบความตลกผมไว้แค่นี้ เรื่องตลกผมมันจะขำมาก ถ้าผู้อ่านเป็นบุคคลที่อยู่ในสถาณะเดียวกับผม พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ รายได้เดือนชนเดือนมาก่อน ถ้าคุณเป็นบุคคลเหล่านั้น สิ่งที่คุณทำได้คือ หนึ่งสมอง สองมือของคุณ ต้องใช้เยอะๆครับ แล้วมันจะตกผลึกเอง
วันนึงที่คุณเข้าถึงแก่น คุณจะรู้เองว่า คุณควรจะทำอะไร ยังไง ต้นทุนน้อยก็ต้องลุยอย่างเดียวละครับทุกคน 555

ปีนี้ผมตั้งใจเปิดร้านกาแฟ กับร้านอาหารไทยเพิ่ม ถ้าผู้อ่านท่านไหน มีอะไรอยากทำปีนี้ก็ลุยเลยนะครับ
เพื่อวันข้างหน้าผมอาจมีโอกาสมาอ่านเรื่อง ตลกๆบางเรื่องจากท่านบ้าง
ปล.ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบ เข้ามาแชร์นะครับ ผมคงไม่ได้แสดงคห.ตอบกลับนะครับ

ที่มา: http://pantip.com/topic/31777368

25570319-013153.jpg

ถ้วยใบเก่า กับอาม่าแก่ๆ


ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆคนหนึ่งอาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลาทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา

ลูกสะใภ้อาม่าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า นางทนไม่ได้ที่เห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นางกินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีทำให้มืออาม่าหายสั่นได้

จากนั้นอีกไม่กี่วันลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า จะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา นั่นคือ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาก็จัดโต๊ะให้แม่นั่งแยกต่างหาก ตามลำพังคนเดียว โดยใช้ถ้วยข้าวราคาถูก ๆ บิ่น ๆ เพราะอาม่าชอบทำถ้วยแตกบ่อย ๆ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้ นางนึกถึงอดีตที่นางเคยเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยปริปากบ่น หรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้ นางก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาที่เขามีปัญหา นางก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง

สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะใภ้ในวันนี้ ก็คือผลจากการอดทนตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนานในวันก่อน ๆ เพื่อให้ลูกชาย..หรือสามีของลูกสะใภ้ในวันนี้ได้เล่าเรียน มีความรู้..มีอาชีพการงานที่ทำให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย แต่ตอนนี้อาม่าเสียใจมาก..รู้สึกว่า..ตัวเองไร้ค่า..ถูกทอดทิ้ง

หลายวันผ่านไป..อาม่ายังคงเศร้าสร้อย รอยยิ้มเริ่มจางหายจากใบหน้า หลานชายตัวน้อยของอาม่า ซึ่งเฝ้าจับตาทุกอย่างมาโดยตลอด ก็เข้าไปปลอบใจและบอกคุณย่าว่า เขารู้ว่า..คุณย่าเสียใจมากแค่ไหน ที่ถูกพ่อแม่ของเขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ และเขาก็บอกท่านว่า เขามีวิธีที่จะให้อาม่าได้กลับไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้เหมือนเดิม ความหวังเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจของหญิงชรา

นางถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร เด็กน้อยได้แต่ตอบเพียงว่า “เย็นนี้ขอให้คุณย่าแกล้งทำชามข้าวของคุณย่าตกให้มันแตกเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจนะครับ”

อาม่าได้ฟังก็แสนจะแปลกใจ แต่หลานชายตัวน้อยก็คงยืนกรานให้คุณย่าทำตามที่เขาบอก และบอกว่าที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าทีของเขาเอง

และแล้ว..เมื่อได้เวลาอาหารเย็น หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด เพื่อจะดูว่าหลานชายมีแผนการอะไร นางจึงยกถ้วยข้าวใบเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้นแล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้น เหมือนกับทำหลุดมือ ถ้วยข้าวเก่าใบนั้นหล่นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี!!!!!

ลูกสะใภ้เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะด่าว่าอาม่าทันที แต่แล้ว..ลูกชายตัวน้อยของเธอ กลับรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

“ว้า..คุณย่าทำไมทำชามแตกซะเละหมดล่ะครับ นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่า..จะเก็บชามใบนี้ไว้ให้คุณแม่ผมใช้ต่อ แล้วเนี่ยผมจะเอาชามเก่าที่ไหนมาให้คุณแม่ผมใช้ ตอนแกแก่เท่าคุณย่าล่ะครับ??”

ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็ถึงกับอึ้ง…. หน้าซีด ด่าไม่ออกอีกต่อไป นางรู้สึกได้ทันทีว่า…ทุกสิ่งที่นางทำลงไปในวันนี้ย่อมจะเป็นตัวอย่าง ให้ลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางในวันหน้าเมื่อนางแก่ตัวลงเช่นกัน

นางรู้สึกอับอายและสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในบ้านก็นั่งทานข้าวร่วมกันตลอดมา

แล้วคุณล่ะปฏิบัติเช่นไรกับผู้บังเกิดเกล้าของคุณ…………….

25570313-222231.jpg

เพื่อนแท้…เพื่อนเทียม…


นิทาน 3 เรื่อง บอกนิสัยคน

1. สมหวังไม่ชอบกินไข่ ทุกครั้งที่ได้ไข่มาก็ให้สมนึกกิน
แรก ๆ สมนึกก็รู้สึกขอบคุณสมหวัง แต่นาน ๆ เข้า สมนึกก็เคยชิน เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่ ๆ สมหวังต้องทำ จนมาวันหนึ่ง สมหวังเอาไข่ให้สมชาย สมนึกก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่าไข่นี้เป็นของสมหวัง ๆ จะให้ใครก็ได้
สมนึกจึงทะเลาะกับสมหวังเพราะเรื่องนี้ แล้วก็เลิกคบกัน

2. ฤดูร้อน ๆ มาก เพื่อน ๆ หลายคนไปเดินเล่นกัน ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน ปรากฎว่า รองเท้าของสมศรีลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อน ๆ ช่วย แต่ทุกคนมีรองเท้าแค่คู่เดียว
สมศรีไม่สบอารมณ์ เพราะเธอชอบขอให้คนอื่นช่วยเสมอ และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคนยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่าเพื่อน ๆ ทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มีสมปองเอารองเท้าตัวเองให้สมศรีใส่ ยอมทนเท้าร้อนเดินต่อ สมศรีขอบคุณสมปอง ๆ บอกสมศรีว่า “เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใครมีหน้าที่ต้องช่วยเธอ ที่ช่วยเธอเพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรีจำคำพูดของสมปอง ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อน ๆ เป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้คนอื่นดีต่อเรา ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา เหมือนเป็นหน้าที่ ๆ เขาต้องดีต่อเรา เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา ๆ ก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว แต่เป็นเพราะเราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ

3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า ๆ จะกินแพะ ๆ จึงสู้ ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อน ๆ ช่วย
วัวมองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้ามองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลาเห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ
หมูผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่ายได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อน ๆ ไปทุกตัว
หมาได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า ๆ เห็นมีหมามาช่วยจึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อน ๆ มาทุก “ตัว”
วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้าแทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดัง ๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ้งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือหมา…

มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่คำพูดที่แสนหวาน แต่เป็นมือที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขาที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา ตอนเธอมีความสุข ไม่ไปสมทบ แต่ตอนเธอต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบ ๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ

25570311-100247.jpg

25570311-100259.jpg

25570311-100308.jpg

25570311-100316.jpg

25570311-100323.jpg

ปริศนา ธูป 1 ดอก


“ปริศนา ธูป 1 ดอก …”
ยาวนะครับ แต่ดีมาก

ไปงานบำเพ็ญกุศลผู้วายชนม์ที่วัดชลประทานมา
ขนบการสวดพระอภิธรรมของวัดชลประทานสมัยนี้
ยังคงเป็นเหมือนกับสมัยที่หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ มีชีวิต…

นั่นคือ งานสวดพระอภิธรรมต้องมีเทศนาธรรม

แขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพ ต้องสวดมนต์รับศีล ฟังเทศน์ ก่อนจะฟังสวดพระอภิธรรม

งานสวดวันแรกหลวงพ่อปัญญากำหนดให้เริ่มต้นที่การประชาสัมพันธ์งานของวัด

ประชาสัมพันธ์เรื่องเปิดรับสมัครผู้เข้าบวช โดยต้องแจ้งให้วัดทราบก่อน 1 เดือน ค่าใช้จ่ายในการบวชเรียน 3 พันบาท

ทั้งนี้ วัดชลประทานเปิดให้บวชทุกเดือนยกเว้นช่วงเข้าพรรษา

ใครสนใจ…เชิญครับ !

หลังประชาสัมพันธ์แล้วการเทศนาก็เริ่มต้น เรื่องที่เทศน์ก็ไม่ยากเกินเข้าใจ

อย่างเรื่องพวงหรีดเคารพศพ พระท่านบอกว่า หากเป็นไปได้ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าพวงหรีด

เพราะพวงหรีดนอกจากจะใช้ประโยชน์ไม่ได้ ยังเป็นภาระของวัด

พระท่านเล่าว่า หลังจากงานศพเลิก เจ้าภาพทิ้งพวงหรีดเอาไว้ที่ศาลา เจ้าหน้าที่วัดต้องเก็บไปทิ้ง

ระเกะระกะ จนผู้คนที่สัญจรไปมาอาจตำหนิพระ

สุดท้ายวัดต้องจ้างเทศบาลเก็บไปทิ้ง…คิดดูสิว่า พวงหรีดที่นำมานี้เป็น “บุญ” หรือ “บาป”

ท่านไม่ได้บังคับ คือ ปล่อยให้คิด แต่เท่าที่ฟังๆ ก็มีหลายคนเริ่มเปลี่ยนใจ

ไม่เอาพวงหรีด เปลี่ยนไปใช้พัดลมบ้าง ใช้ต้นไม้บ้าง

ทั้งพัดลม และต้นไม้ หากเจ้าภาพไม่เอากลับ…วัดจะได้นำไปทำประโยชน์ต่อไป

จบเรื่องพวงหรีด ต่อเรื่องใกล้ตัว เห็นกันจะจะตรงหน้า

พระท่านเทศน์ด้วยคำถามต่อไปว่า รู้ไหมว่าทำไมต้องจุดธูป 3 ดอกหน้าพระพุทธ หลายคนคงบอกว่าเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

ผิดครับ!

ความจริงแล้วธูปทั้ง 3 ดอก จุดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธเพียงอย่างเดียว

เพียงแต่ 3 ดอกที่จุดขึ้นนั้นก็เพื่อบูชาพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิกุลหรือพระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิการของพระพุทธเจ้า

บูชาพระปัญญาคุณ เพราะพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริงด้วยพระองค์เอง

บูชาพระบริสุทธิคุณ เพราะหมดจดสิ้นโลภ โกรธ หลง

บูชาพระมหากรุณาธิคุณ เพราะมีเมตตาสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้งเห็นจริง

แล้วธูป 1 ดอกที่จุดหน้าศพล่ะ?

ไม่ต้องรอคำตอบ พระท่านได้เฉลยว่า ธูป 1 ดอก หมายความถึงชีวิตของคน…แต่ละคนมี 1 ชีวิตเท่ากัน

ธูปส่วนที่ถูกเผาหมายถึงช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตมาแล้ว ส่วนธูปที่เหลือคือช่วงเวลาที่เหลืออยู่

พระท่านยังว่า เมื่ออยู่หน้าศพก็ให้ระลึกไว้ 3 อย่าง

หนึ่งคือ เอวัง ภาวี หมายถึง ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้

หนึ่งคือ เอวัง ธัมโม สิ่งนี้คือธรรมชาติ

และอีกหนึ่งคือ เอวัง อะนาติโต ทุกชีวิตไม่สามารถหนีสิ่งนี้พ้น

พระท่านบอกว่า งานสวดศพเขาเรียกว่างานบำเพ็ญกุศล ไม่ใช่งานบุญ

เพราะการทำบุญนั้น พอทำแล้วใจพองโต เช่น ทำดีได้บุญ ใจเป็นสุข

แต่ทำกุศลนั้น ทำแล้วได้ปัญญา

ท่านพุทธทาสสอนความแตกต่างระหว่าง “บุญ” กับ “กุศล” เอาไว้สรุปว่า บุญคือการพอใจ ส่วนกุศลคือความฉลาดที่จะไม่ติดยึดกับความพอใจ

การจัดงานศพจึงเป็นงานบำเพ็ญกุศล คือ สร้างเสริมปัญญาให้แก่ผู้มาร่วมงาน

ทำให้รู้ว่าชีวิตมีเท่านี้ ช่วงชีวิตก็แค่นี้ และสุดท้ายของชีวิตก็แบบนี้

ดังนั้น ใครที่โกรธกัน ใครที่เกลียดกัน ใครที่มัวแต่คิดจะฆ่าฟันทำลายล้าง น่าจะลองทบทวนใหม่

ใครที่ซึมเศร้า ใครกำลังคิดสั้น ใครท้อแท้-หดหู ก็น่าจะทบทวนตัวเองอีกครั้ง

ทบทวนหวนนึกถึงธูป 1 ดอกที่หมายถึงชีวิต 1 ชีวิต

ทบทวนถึงธูปที่เผาไหม้ อันหมายถึงเวลาที่ชีวิตใช้ไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ทบทวนแล้วน่าจะแลเห็นว่า ชีวิตนั้นแสนสั้น การอยู่ร่วมกันของคนแต่ละคนก็แสนสั้น

หากมัวแต่เกลียดกัน โกรธกัน ฆ่าฟันทำลายล้างกัน ทำให้จิตใจมัวหมอง เท่ากับว่ากำลังทำให้ชีวิตเสียโอกาส

เสียโอกาสที่จะได้ทำบุญ คือ ทำแล้วฟูใจ พอใจ สบายใจ

และเสียโอกาสที่จะได้กุศล คือ ได้วิชา ได้ความรู้ ได้ปัญญา

สัปดาห์นี้อิงพระสงฆ์ที่สอนพระธรรมของพระพุทธเจ้า ตามคำเทศน์จากปากคำหลวงพี่ที่วัดชลประทานกันหน่อย

เป็นธรรมะที่ฟังมา และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์

ยิ่งสังคมทุกวัน มีบางคนกำลังใช้เวลาของชีวิตไปกับความเกลียด ความโกรธ และอาฆาตมาดร้าย จึงเกรงว่าหากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป ชีวิตของเขาและเธออาจสูญเปล่า

หมดโอกาสจะได้ “ทำบุญ” หมดโอกาสจะสร้าง “กุศล” เพราะจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความโกรธ ความเกลียด

วุ่นวายอยู่แต่เรื่องที่จ้องจะทะเลาะกัน

25561109-154109.jpg

ข้าวทุกจาน…


“ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา สงสารบรรดา เด็กตาดำดำ…”

….. สมัยเด็กๆก่อนกินข้าว ผมต้องท่องประโยคเหล่านี้เป็นประจำ แล้วพาลคิดไปแบบเด็กๆที่ว่า ทำไมต้องให้กูท่อง ให้กูท่องทำไม กูหิวจะตาย กูอยากแดกข้าวแล้ว …

จิตสำนึกเล็กๆ ถูกปลูกฝังด้วยอะไรที่แสนน่าเบื่อและเด็กๆไม่เข้าใจเหตุผลแบบนี้เสมอ บทกลอนที่สอนท่อง ล้วนแฝงกุศโลบายให้ซึมเข้าไปสู่เด็กๆที่ละนิด บุญคุณของชาวนา ถูกกรอกหูผมมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็ไม่ได้ซึ้งอะไรกับมันนักหนาหรอก ….. เพราะคุณจะไม่มีวันรู้สึกอะไรหรอก หากคุณไม่เคยอดอยากจริงๆ คุณไม่มีวันรู้สึกอะไรหรอก หากคุณไม่เคยหิวข้าวจนทนไม่ไหวจริงๆ

เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนผมหนีออกจากบ้านตอนวัยรุ่น ไม่มีเงินติดตัวเลย อยากบุหรี่จนต้องเก็บเอาก้นกรองที่ตกพื้นมาจุดดูดแก้อยาก หิวข้าวหน้ามืดจนรู้สึกเลยเถิดไปจนถึงขั้นคิดโง่ๆอยากปล้นอยากจี้อยากวิ่งราว เพียงแค่อยากมีเงินไปซื้อข้าว แค่นั้น ไม่ได้คิดไปถึงจะต้องการเงินไปใช้อะไรเลย ผมเคยนั่งกินข้าวแล้วน้ำตาไหล ผมเคยรู้สึกแบบนั้นจริงๆ รู้ซึ้งถึงบทกลอนบ้านๆบทนี้ นั่นทำให้ทุกวันนี้ ผมไม่เคยกินข้าวเหลือในจานเลย ไม่ว่าจะตักมาเยอะขนาดไหน ผมก็ต้องฝืนกินให้หมด ตลอดชีวิตมานี้ ผมเคยกินข้าวเหลือในจานจำนวนครั้งไม่ถึง 5% จากทั้งชีวิต เวลาผมไปกินพวกบุฟเฟ่ต์หมูกะทะ ผมจะไม่เคยตักเยอะจนรู้สึกว่าตัวเองกินไม่ไหว และต่อให้อาหารร้านนั้นรสชาติหมาไม่แดกยังไง ผมก็ต้องฝืนกินจนหมด มันติดเป็นนิสัยแล้ว

การปลูกฝังคำสอนง่ายๆแบบนี้ ทุกวันนี้กลับจางหายไปจากสถานศึกษาตามกาลเวลา ด้วยความรู้สึกว่ามันเชย มันเป็นคำโบราณ ตำราเรียนและคำสอนต่างๆถูกประดิษฐ์ให้ทันสมัย ทันโลก อะไรโบราณคร่ำครึก็ถูกเก็บลงกรุไป ในวัยเด็กผมเองก็ไม่เคยรู้สึกแฮปปี้อะไรกับการท่องก่อนกินข้าวแบบนี้หรอก แต่วันนึงมันจะสามารถสะกิดเราได้ สะกิดเราให้มีจิตสำนึก ให้รู้คุณค่า น่าแปลก ที่สิ่งดีๆเหล่านี้ ทุกวันนี้แทบไม่มีโรงเรียนไหนสอนให้ท่อง ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทุกวันนี้ ทำไมเด็กสมัยนี้ การรู้คุณค่าสิ่งของหรือแม้กระทั่งจิตสำนึกมันต่ำลง ต่ำลง และต่ำลง ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ

by เสด็จพ่ออนันดา

25561029-220154.jpg

ชายคนหนึ่ง


 

ชายคนหนึ่ง
ชายคนหนึ่ง

ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น…เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น…เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น…เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น…เคยถูกอาจารย์ระบุว่า
“สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา”
ชายคนนั้น…ชื่อ “อัลเบิร์ต ไอสไตน์” บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอ ยต์
ชายคนนั้น…ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น…ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น…พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น…ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น…ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น…เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น…ชื่อ “นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์” ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

ชายกลุ่มหนึ่ง…เป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น…เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง
ชายกลุ่มนั้น…ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา
และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว”
ชายกลุ่มนั้น…มีนามว่า “เดอะ บีเทิลส์” สี่เต่าทองแห่งตำนาน

ชายคนหนึ่ง…เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น…เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น…เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น…ชื่อ “ไมเคิล จอร์แดน” หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง…เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น…สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น…หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น…ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น…ชื่อ “ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน” นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น…เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น…ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น…ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น…ชื่อ “วินสตัน เชอร์ชิล” อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น…เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น…เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น…ชื่อ “หลุยส์ ปาสเตอร์”

ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น…เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น…เคยโดนดูถูกว่า “แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า”
ชายคนนั้น…ชื่อ “เอลวิส เพรสลีย์”

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น…ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น…เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
“เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า”
หญิงคนนั้น…ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม “มาริลีน มอนโร” นั่นเอง

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น…ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ด อันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น…ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น…ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
ชายคนนั้น…สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น…ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น…ชื่อ “วอเรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น…ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น…ถูกเพื่อนมองว่า “สกปรก – บ้าคอมพิวเตอร์”
ชายคนนั้น…เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น…ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น…ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น…เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า “แค่เด็ก”
ชายคนนั้น…ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น…ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม “บิลล์ เกตส์” ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

ผมเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ ผมเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว

แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

คนล้มเหลวคือ…คนที่ล้มเลิกต่างหาก

เมล็ดข้าวโพดพันธ์ดี…


ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง
ทุก ๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง
เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ …

ทันทีที่เขาชนะ

เขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวด
แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า
เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ในปีต่อมา …
เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก
เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่น ๆ
แล้วบอกว่า …
เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะ
ให้ผู้แข่งขันคนอื่น ๆ ทุกปี

มีนักข่าวถามเขาว่า …
ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดี
โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่าย ๆทุกปี

เขาตอบว่า … แสดงว่า …
คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า …
การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี
บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ

วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ
มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย

มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ …
ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ที่ดีแล้ว …
ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า …
ใครขยัน รดนำพรวนดินดีกว่ากัน

มีคำกล่าวว่า …
ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว
ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น
ก็จะตายไปพร้อมคุณ

เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้
ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คน ๆ นั้น

ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อม ๆ กับ

การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

ขอขอบคุณ ข้อความจาก คุณ promin ….Thaigold.info

25561023-063352.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

เลี้ยงลูกแบบไหน ถึงผลักไสให้เขา กลายเป็น Generation ME


น่าคิดเนอะ<
ฝากถึงพ่อๆแม่ๆ ด้วยครับ

~~ เลี้ยงลูกแบบไหน ถึงผลักไสให้เขา กลายเป็น Generation ME » Gen ที่หลงตัวเองที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ~~
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่าวที่ฮือฮามากในนิตยสาร “TIME” ที่ทำสกู๊ปหน้าปกเรื่อง “ME ME ME Generation” พร้อมภาพเด็กหญิงวัยสาวกำลังนอนราบกับพื้นและยกกล้องจากโทรศัพท์มือถือขึ้นโน้มลงมาถ่ายรูปหน้าตัวเอง

เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่ ที่อ้างข้อมูลของโจเอล สไตน์ จาก “The National Institutes of Health” (สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกา) พบว่า
คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-2000 นั้นหลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ และกว่า 80% ของคนรุ่นนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี ต้องการได้งานที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่

คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วมก็ได้ประกาศนียบัตร” โดยไม่สนใจถึงประสิทธิผลหรือวิธีการหรือความสำคัญของการเข้าร่วม
ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้นทุกๆ สองปีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงานหรือประสิทธิภาพ
และจากข้อมูลดังกล่าว เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่าง หรืออีกคำที่เขาเรียกว่าเป็นกลุ่มหลงตัวเอง

คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” สรุปคร่าว ๆ มักจะมีอาการและพฤติกรรม ดังนี้
1) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความโกรธแค้น สร้างความน่าละอาย/ขายหน้า และความอัปยศน่าอดสู
2) เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตนเอง
3) มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี
4) พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง
5) มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือรักในอุดมคติ
6) ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง
7) ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับและหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
8. เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น และมีความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น
9) คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง
10) ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโยชน์แก่ตนเอง
แม้จะมีความพยายามในการวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่และส่วนสำคัญที่สุดก็คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก

แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า Generation ME !!
ประการแรก : ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน
ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น

ประการที่สอง : ลูกไม่เคยผิดหวัง สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยขัด และตามใจมาโดยตลอด จึงมักตอบสนองในทุกเรื่อง แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไปขอยืมมา หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อของเล่นชิ้นใหม่จนได้ เป็นต้น

• ประการที่สาม : ลูกไม่เคยแพ้
ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ ไม่ว่าจเะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม
ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย
แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น
แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย

ประการที่สี่ : ลูกไม่เคยลำบาก
ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไป ที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว ก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป
ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี

ประการที่ห้า : ลูกไม่เคยแก้ปัญหา. พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง
พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตของลูกไปซะอีก เวลาลูกเจอปัญหาอะไรต้องให้เขาฝึกเผชิญด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอื่น หรือโทษว่าเพราะคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา

ประการที่หก : ลูกได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ
การชื่นชมหรือชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เพราะถ้าชื่นชมมากเกินไป พร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นสร้างปัญหาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเพียงแค่เปลือก ชมที่ภายนอก
เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือดีว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้

ฝากทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำให้ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดถึงตัวเอง หรือภาษาของคนชาวอเมริกันที่เขาบอกว่าเข้าข่ายหลงตัวเอง
จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “Generation ME” ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มักมองแต่ตัวเอง
จะว่าไปแล้วอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เกิดพฤติกรรมหลงตัวเองก็คือ “สื่อยุคไร้พรมแดน” เพราะสื่อและเทคโนโลยีที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเด็กโดยตรง
และมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สุดแสนจะโอชะ เพราะใช้เงินง่าย ตกเข้าไปในกระแสทุนนิยมก็ง่าย ยิ่งบรรดาสมาร์ทโฟนที่เด็กรุ่นใหม่ใช้กันเกลื่อนเมือง ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มอย่างมากที่ก้าวเข้าสู่การเป็น Generation ME ได้ง่ายขึ้น
ตรงกันข้าม ถ้าเด็กเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและถูกวิธี มีการปลูกฝังทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับวัย เมื่อถึงวันที่กระแสบริโภคนิยมเข้ามาปะทะตัวเด็กเต็ม ๆ มีสื่อไฮเทคเข้ามาถึงบ้าน แต่ทักษะชีวิตที่ได้รับการปลูกฝังมาดี
เมื่อถึงเวลานั้น ทักษะที่มี มันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี
Credit : สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

25560910-224527.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

‘No pain No gain’ “ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้”


‘No pain No gain’ “ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้”

เรื่องนี้น่าสนใจนะคะ อ่านแล้วดีมาก ๆ อ่านให้จบนะคะ เสียเวลาเพียง 3 นาทีเอง สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ กำลังจะเป็น และคนที่เป็นลูกนะคะ

เรื่องนี้ไว้สอนสำหรับคนเป็นพ่อแม่โดยเฉพาะ อ่านแล้วค่อยให้ลูกๆอ่านต่อ

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ
ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า
“ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม
แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์ พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้ พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ”

กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า “ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ”

วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ “ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ”
วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง
ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุมแบบเจ้านายกับลูกน้อง

วิธีนี้ได้ผล! กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน
“ ก็…คือว่า…พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน
โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น ติดขัดเรื่องการบ้านละก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว
ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ” กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ

วนิดาแสดงความเห็นใจ “ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย พี่พอจะจินตนาการออกถึงความลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรี แล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ”

กิตติถามด้วยความประหลาดใจ
“ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ”

วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า “ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราธิป นัยนา เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆหนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง ”

“มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม
เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น
ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ

กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้

ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน”

กิตติฟังด้วยความสนใจ “ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ”

วนิดาเสริมต่อ “ มีคำพูดที่ว่า ‘No pain No gain’ “ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้” ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆในอดีต ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ … กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้….คุณมีสิทธิ์เลือกนะ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด
GuideKrabi.com

Cr.Forward Mail

25560910-124542.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

“ขอบคุณทุกสรรพสิ่ง”


“ท่าน ติช นัท ฮันท์” พูดเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ “ขอบคุณสรรพสิ่ง”

“ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ..แต่ปาฏิหารย์คือ. การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”

ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา” เช่น ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน
ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมา
ก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ หน้าตาเราหรือก็..ธรรมดาๆเราส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไปล่ะ
เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็ง ไปมีเรื่องนอกบ้าน ติดยา คบเพื่อนไม่ดี
หรือสามีเราตายไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม หรือเราถูกไล่ออกจากงาน…

เรื่องก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที

และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด…

ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ธรรมดา” ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล
เพราะสิ่งธรรมดาๆแท้จริงแล้วคือ
สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์อย่างเรา

..ครอบครัว..มิตรภาพ..ความรัก..ความซ่ือสัตย์และความจริงใจท่ีมีต่อกันและกัน..

จงรักษาเอาไว้ให้ดี!!😊👌✌

25560910-075650.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

บททดสอบชีวิตที่ต้องเจอจุดเปลี่ยน


บททดสอบชีวิตที่ต้องเจอจุดเปลี่ยน

เปรียบกับชีวิตของ..”นกอินทรีย์”

นกอินทรีย์เป็นสัตว์ปีกที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก มันมีอายุยาวนานถึง70ปี เมื่อเราเอ่ยถึงมันก็คงต้องนึกถึงปีกอันสง่างาม และกรงเล็บที่ทรงพลัง แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่ามันมีช่วงชีวิตที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของมันด้วย

นกอินทรีย์พออายุ40ปีปากของมันจะงองุ้มจะจิกจะกินอะไรก็ทำได้ยาก เล็บมันจะยาวและโค้งงอมันจะจับสัตว์กินเป็นอาหารเหมือนเดิมมันก็ไม่อาจจะสามารถทำได้งง่าย และปีกที่งามของมันก็จะเกิดขนปกคลุมจนหนาและหนักทำให้มันบินแต่ล่ะครั้งต้องทำด้วยความยากลำบาก ช่วงเวลานี้กินเวลายาวนานถึง150วัน หรือประมาณ5เดือนกว่า พอมาถึงช่วงนี้มันมีทางเลือก2ทางในชีวิตคือหนึ่งฆ่าตัวตายเสีย กับทางเลือกที่สองคือต้องอดทนและต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้

เมื่อมันเลือกทางเลือกที่หนึ่งมันก็สามารถทำได้ด้วยการเอากรงเล็บปาดคอตัวเองจบชีวิตมันลงหรือไม่ก็ทรมานตายไปเอง…

แต่ถ้ามันเลือกทางเลือกที่สองมันต้องบินขึ้นสู่ภูเขาหินสูง และเคาะปากมันกับหินเป็นร้อยเป็นพันครั้งเพื่อให้จงอยปากของมันหลุดออกมา หลังจากนั้นมันต้องเคาะเล็บตนเองที่งองุ้มกับพื้นหินที่แข็งๆให้เล็บหลุดออกมาทีละเล็บจนหลุดออกจนหมด มันต้องจิกขนที่หนาเตอะตรงอกตรงปีกออกทีละชิ้นทีละชิ้นจนขนที่หนาเตอะเหล่านั้นหมดไป แน่นอนกระบวนการเหล่านี้ต้องกินเวลานาน และเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสสากรรจ์ กระบวนการจะเริ่มอย่างช้าๆและสิ้นสุดลงเมื่อครบ150วัน

เมื่อมันผ่านไปได้รางวัลของมันคือ ปากที่จะงอกออกมาใหม่สวยงามกว่าเดิม เล็บที่จะงอกออกมาใหม่เล็บแหลมคมและงออย่างสวยงามเหมาะแก่การล่าสัตว์หาอาหารและเหมาะแก่การดำรงชีวิต และของขวัญล้ำค่าอีกอย่างคือชีวิตที่จะมีต่อไปได้อีก30ปี เป็นชีวิตที่จะมี30ปีที่สง่างามและมีเกียรติ์ มันจะบินขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้งด้วยปีกที่ทรงพลังกว่าเดิม

แต่ถ้าหากว่ามันไม่ผ่านบททดสอบมันไม่ยอมทนทุกข์ไม่ยอมเจ็บทนเอาปากออก ไม่ยอมเจ็บเพื่อจะเอาเล็บตนเองออก และไม่ยอมอดทนที่จะจิกเอาขนที่มีจำนวนมากมายและหนาเตอะออกเมื่อผ่าน150วันมันจะต้องตายในที่สุด…มีนกอินทรีย์หลายตัวมากที่ผ่านบททดสอบ และก็มีจำนวนมหาศาลมากเช่นกันที่ตายในบททดสอบ150นี้

มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้วเราก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ เมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเจ็บปวดเราต้องอดทนจนถึงที่สุด เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราผ่านมันไปได้ชีวิตเราย่อมมีสิ่งที่ดีรอเราข้างหน้าเมื่อผ่านไปได้แน่นอน ถ้ามีหลายครั้งที่เราเจ็บเหลือเกิน เราร้องไห้ เราล้มลงทั้งยืน ให้เราอย่าหมดหวังในชีวิต จงลุกขึ้นสู้อุปสรรคนั้น อย่าคิดทิ้งบททดสอบเหมือนนกอินทรีย์บางตัวที่ไม่ยอมทนเจ็บ ไม่ยอมทนทรมานเพียงชั่วคราว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มีกันทุกคน แต่มันไม่ได้มีตลอดนิรันดร์ เมื่อเราผ่านมันก็จะหายไปเองเหลือทิ้งไว้แต่ความเข้มแข็งของเราที่มีมากกว่าเดิม

อุปสรรคไม่เคยฆ่าใครตาย อุปสรรคเป็นกำแพงที่มีเพื่อให้เราข้ามเพื่อที่เราจะเติบโต เพื่อที่เราจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่เราจะงดงามขึ้น

จงเป็นดั่งนกอินทรีย์ที่มีชีวิตต่อไปได้อีก30ปีนั้นเถิด

25560828-210736.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

ชีวิต เกิดมาเพื่ออะไร?


เชื่อว่าหลายคนคงดูคลิปนี้แล้ว.. ให้ดูอีก ดูแล้วดูอีก

“ชีวิต” นี่เกิดมาเพื่ออะไร คนเรามีเวลาไม่มาก อายุน้อยไม่ได้บ่งบอกว่าจะอยู่นานกว่า อายุมากก็ไม่ได้แปลว่าจะตายก่อน

วันนี้..หากยังมีกำลังใจ..ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ตัวเองต้องการกันเถอะ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ

เงินน่ะมันสำคัญตอนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น..

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

เอาไว้สอนลูกอ่านให้จบ (ดีมาก) ~ ♡ 20


เอาไว้สอนลูกอ่านให้จบ (ดีมาก) ~ ♡ 20

ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40 ปี
1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงานไม่ใช่ที่เกรด
2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน
3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่าอาชีพนั้น..สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง
4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่า และสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”
5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณในชาตินี้ตลอดไป
6. ซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด
7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว
8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมาคือต้องรู้จักลงทุน
9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้
10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้
11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้
12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว เพราะความสามารถของคนเรามีมากกว่า 1 เสมอ
13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือประสบการณ์
14. สร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมากไม่ใช่เรื่องสนุก
15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม
16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน
17. การมีแฟนหรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ
18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้
19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตหนักเกินไป

อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

25560824-223130.jpg

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

ไม่กล้าก็ไม่ก้าว… ไม่ก้าวก็ไม่เดิน…


ไม่กล้าก็ไม่ก้าว… ไม่ก้าวก็ไม่เดิน…

ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุข
คือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า…

ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจ
คือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น
ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริง

แม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ
เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไม่ก้าว”

1.เชื่อมั่นและศรัทธาในมือข้างขวาของคุณ

“ ธรรมชาติสร้างแขนมาให้มนุษย์สองข้าง พร้อมมือสวยๆ อีกหนึ่งคู่
คนส่วนมากถนัดขวา ใช้มือขวามากกว่ามือซ้าย
มือซ้ายคือมือแห่งโชคชะตา
มือขวาคือมือที่สร้างและทำ
แต่คนหลายคนกลับปล่อยให้โชคชะตามากำหนดชีวิต”

…โชคชะตาเป็นสิ่งนามธรรมที่คนเราคิดขึ้นมาเอง
มันจะไม่มีทางมีอิทธิพลเหนือกว่าจิตใจเราได้เลย

..เมื่อไหร่ที่หัวใจอ่อนแอ อย่าปล่อยให้ชีวิตเอนตาม

2. ปัญหามีไว้แก้ไข ..หลบได้ พักได้แต่อย่าหนี

การนั่งดูปัญหาตีกันแม้มันจะไม่ถูกต้องนัก
แต่อย่างน้อยเราจะเป็นคนคุมเกม
ดีกว่าลงไปแก้ปัญหา ทั้งที่หัวใจยังอ่อนแอ.

เวลาที่เชือกพันกัน คนส่วนมาก มักจะใช้มีดตัดออก
จะมีใครสักกี่คนมานั่งแก้ด้วยมือ

ปัญหาของคนเรา จริงๆแล้วคือ
การหนีปัญหานั่นแหละ เพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน
มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ

3. อย่ากลัวผิดถ้าคิดจะพูด..อย่าคิดว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นผิด

“บางทีความเงียบสงบก็สยบความเคลื่อนไหวไม่ได้เสมอไปหรอก…”

แม้ว่าเราจะนั่งในที่ตัวเองเราก็มีสิทธิ์ถูกชน
ถ้าเราไม่ส่งเสียงให้เขารู้ว่าเรานั่งอยู่.

คนที่พยายามทำทุกอย่างให้ถูกใจคนอื่น
คนนั้นจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดตลอดชีวิต
การตอบคำถามเพื่อเอาใจคนถาม ก็เท่ากับว่าเรายอมให้เขาครอบงำ
.. เมื่อสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว
เธอจะเรียกมันกลับคืนมาได้ยาก อย่าลืมว่า
คนแต่ละคน พูด ฟัง คิด ไม่เหมือนกัน
ไม่มีใครทำอะไรถูกใจใครได้ทั้งหมด

องค์กรไม่ได้ต้องการคนที่ทำตามใจเขาทั้งหมด
ถ้าเธอไม่แสดงให้เขาเห็นว่า
มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของตัวเอง
แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเธอจะสามารถพาองค์กรของเขา
ก้าวไปข้างหน้าได้…

25560625-193037.jpg


โอกาส:Opportunity

ถ้าเรามีโอกาสไม่จำกัดในชีวิต เราก็คงไม่ได้คิดอะไรละเมียดมากนัก
เพราะเรารู้ว่าถ้าเราพลาด เราก็ยังมีโอกาส
โอกาสเกิด Noise ในชีวิตก็คงไม่น้อย…

แต่ถ้าเราจำกัดโอกาสที่มีล่ะ การตัดสินใจของเราก็คงต่างออกไป
ต้องคิดมากกว่าเดิม และผลลัพธ์ที่เกิดจาก “การคิด” มากขึ้น ก็มีโอกาสที่ดีกว่า

การลงทุนและการใช้ชีวิตก็คงไม่ต่างกัน…

GuideKrabi

ถ้าเรามีโอกาสไม…

Posted in ไม่มีหมวดหมู่

เวลาคนดูนาฬิกา จะมีสักกี่คนที่ม­องเห็นเข็มวินาที ทั้งที่มันทำง­านหนักกว่าเพื่อน คนเรา มักละเลยสิ่งเล็กๆ


เวลาคนดูนาฬิกา จะมีสักกี่คนที่ม­องเห็นเข็มวินาที
ทั้งที่มันทำง­านหนักกว่าเพื่อน

คนเรา…มักละเลยสิ่งเล็กๆ

สิ่งในโลก ที่เงินซื้อไม่ได้ คือ “ความรัก” “เวลา” “ชีวิต” และ “มิตรแท้”


สิ่งในโลก .. ที่เงินซื้อไม่ได้ คือ
“ความรัก” , “เวลา” , “ชีวิต”, และ “มิตรแท้”